หลังผ่านพ้นช่วง COVID มา บริษัทของผมก็เลิกเช่า Office และปรับมาใช้โมเดล Work from Anywhere 4 วันต่อสัปดาห์ และ Work at Office (บ้านของผม) 1 วันต่อสัปดาห์
ซึ่งจากที่ได้ลองมาปีกว่าๆ ผมคิดว่ามันตอบโจทย์ส่วนตัวและตอบโจทย์ทีมมากๆ เลย คือไม่ต้องฝ่ารถติดเช้าเย็นทุกวัน ทำให้มีแรงและมีเวลาคิดงานมากขึ้น รวมถึงมีเวลาไปทำสิ่งอื่นๆ ที่สำคัญในชีวิตมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน การได้เจอกัน 1 คร้ังต่อสัปดาห์ ก็เหมือนกับการได้มาเจอสังคม มาเม้ามอย เฮฮากัน
ถ้าใครสนใจลองเอาไปทำบ้าง แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเวิร์คไหม ผมอยากจะมาแชร์หลักคิดง่ายๆ 4 อย่างที่ผมใช้มานะครับ
มีอะไรบ้าง มาดูกันเลย!
4 หลักคิดเพื่อ Work from Anywhere 4 วันต่อสัปดาห์
ดูก่อนว่ามันเหมาะกับธุรกิจหรือทีมของเราไหม
อย่างของผม (Content Shifu) ที่เป็นสาย Training/Media มันสามารถทำได้ เพราะทีมไม่ใหญ่ และด้วยตัวเนื้อหาคือการทำคอนเทนต์ออนไลน์ หรือทีม Business สามารถดีลงาน คุยงาน ด้วยตัวคนเดียวได้ ไม่ได้มีโปรเจคต์ที่มันซับซ้อนที่ต้องสุมหัวรวมกันหลายๆ คน หลายๆ ตำแหน่งตลอดเวลา
แต่ถ้าเป็นงานที่มันต้องประสานกับคนเยอะๆ (อย่างก่อนหน้านี้ช่วง COVID ที่ผมยังมี Business Unit ที่เป็น Agency อยู่ พบว่าการไม่ได้คุยกัน ไม่ได้เจอกัน มันทำงานยากมากๆ เลย เพราะงาน Agency มันเป็นงานที่ต้องระดมสมอง) การ Work from Anywhere ก็อาจจะแอบยาก
หรือเท่าที่ผมเห็นบริษัทอื่นๆ ต่อให้ทีมไหนจะทำงาน Work from Anywhere แต่ทีมที่เป็นฝ่ายสนับสนุนเช่น HR หรือ Finance ก็จะอยู่ Office มากกว่า
เจ้าของ/หัวหน้าต้องปรับทัศนคติ
เน้น Impact มากกว่า Input (หรือ Output) และที่สำคัญ ผมว่าต้องเริ่มต้นที่ความเชื่อใจ
ผมเองเคยเป็นคนที่มีแนวคิดแบบว่า “ความเชื่อใจต้องสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ของที่จะให้กันง่ายๆ” คือทีมต้องแสดงให้เห็นก่อน ทำผลลัพธ์ออกมาให้ดีก่อน ซึ่งในช่วงนั้นก็สรรหาวิธีการและเครื่องมือมา Track มา Report วุ่นวายไปหมด
พอเปลี่ยน Mindset ใหม่ คือไม่ได้เริ่มจาก 0 แต่เริ่มจาก 100 ใจก็ร่มขึ้น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไว้ใจแบบไม่ลืมหูลืมตานะ แต่แค่เราแคร์เรื่อง “ผลลัพธ์ที่คุณทำออกมามันสร้าง Impact ไหม หรืองานที่คุณทำออกมามันสำเร็จไหม” มากกว่า “ตอนบ่าย 2 คุณกำลังนั่งกินลมชมวิวอยู่รึเปล่า”
และถ้าใครทำอะไรที่ไม่โอเค ผลงานไม่ออก พฤติกรรมไม่ดี เราก็ทดไว้ในใจ/ตัดคะแนนไว้ในใจ แล้วก็เอามาคุยกัน แชร์กัน ใน One-on-one Meeting ที่มีทุกเดือน หรือถ้าปัญหามันเร่งด่วนหรือหนักจริงๆ ก็จะใช้วิธีคุยนอกรอบเอา (และ Vice Versa ด้วยนะ คือเราก็ต้องรับ Feedback เหมือนกัน)
Recruit คนที่ใช่
ปัญหาเกือบทุกอย่างจะหายไป ถ้าทำข้อนี้ได้ดี
ซึ่งข้อนี้ก็เป็นข้อที่พูดง่าย แต่ทำยากที่สุดเลย 😂
ผมคิดว่าแต่ละบริษัท แต่ละองค์กร ก็จะให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน (อย่างของบริษัทผมก็จะเป็น Results-oriented, Ownership, Adaptable & Learning)
ผมคิดว่าสิ่งสำคัญน่าจะเป็นเรื่องการให้ความสำคัญกับ Recruitment & Onboarding Process ให้มากๆ
เช่นไม่ใช่จะรับใครที่ดูเข้าท่ามาทำงาน แต่อาจจะต้องเช็คด้วยว่าเขาเหมาะและอยากมาทำงานกับเราไหม (ผ่านการสัมภาษณ์และให้โจทย์) และในช่วงเดือนแรกๆ ต้องให้เวลากับทีมงานที่เข้าใหม่เยอะหน่อย และมีการประเมินผลงานแบบเป็นระยะ
ทั้งนี้ผมคิดว่า ถ้าอยากจะ Work from Anywhere จริงๆ มีสกิลนึงที่ผมคิดว่าทุกคนที่เราจะ Recruit เข้ามาต้องมีคือสกิลในการจัดการตัวเองและสกิลในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองในระดับนึง (ซึ่งเอาจริงๆ นี่เป็น Skill ที่ People of the Future ควรจะมีอยู่แล้ว)
ป.ล. ผมเคยเขียนบทความ “5 วิธีง่ายๆ (และเวิร์ค) ในการหาคนสาย Digital มาช่วยงาน” อ่านได้ที่ https://sitthinunt.com/talent-management/finding-digital-talents/
ให้ความสำคัญกับระบบ
พอมันเป็นการ Work from Anywhere จะไม่มีใครสามารถเห็นได้เลยว่าแต่ละคนทำอะไรในเวลาไหนบ้าง
มีแค่ความไว้ใจเชื่อใจ ก็ไม่พอ แต่ควรจะมีระบบจัดการงานที่ดีให้กับทั้งตัวทีมงานเอง ตัวหัวหน้า ตัวเพื่อนร่วมงานด้วย
อย่างของผม พวกการวัดผลต่างๆ จะทำผ่าน OKR ของ Company, Team & Personal
และพวก Operating System หลักๆ ก็จะใช้
- Clickup ทำ Project Management เพื่อที่จะได้เห็นว่าใคร ทำอะไร จะเสร็จเมื่อไหร่ และ Workload แต่ละคนเป็นยังไง
- ใช้ Slack ในการคุยงาน เพื่อแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกัน (แต่เวลาคุยกับ External Parties ก็ยังใช้ LINE อยู่นะ อันนี้เลี่ยงไม่ได้จริงๆ 😅)
สรุป
หลักๆ ที่ผมทำเพื่อที่จะทำให้ Work from Anywhere ได้ 4 วันต่อสัปดาห์ก็จะประมาณนี้ครับ
รู้สึกว่าใช้หลักคิด/วิธีการเหล่านี้แล้ว มี Peace of Mind มากขึ้น และผลลัพธ์ก็ออกมาดีพอสมควรครับ
โดยสรุป ข้อคิดสุดท้ายที่อยากจะฝากในบทความนี้คือ เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า มา Optimize เวลาให้ตัวเราเองและทีมของเราเพื่อที่จะเกิดประโยชน์ที่สุดทั้งในเรื่องการงานและชีวิตส่วนตัวกันนะครับ 🙂
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ!
ป.ล. ในอนาคต เมื่อบริบทเปลี่ยนไป อาจจะมีการปรับอีกเรื่อยๆ เดี๋ยวไว้ถ้ามีอะไรเปลี่ยนหนักๆ จะเอามา Revise เนื้อหาในบทความนี้อีกคร้ังครับ
ป.ป.ล. ปีหน้า (2024) บริษัทของผมอยากจะทำอะไรเพิ่มหลายอย่างอาจจะมีการรับคนเพิ่ม (ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่ามีตำแหน่งไหนบ้าง แต่คิดว่าน่าจะเป็นแบบ Content Manager, Content Creator, Graphic Designer, Video Editor หรือตำแหน่งสาย Business อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน Training & Digital Media) ถ้าสนใจ ส่ง Resume มาที่ work[at]contentshifu.com ก่อนได้นะครับ 🙂