มีน้องคนนึงมาปรึกษาว่ารู้สึก Burn Out และรู้สึก Down เพราะทำสิ่งต่างๆ ไม่ได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งน้องคนนี้ยังอายุยังน้อย พึ่งเรียนจบมาไม่นาน แต่มีประสบการณ์ทำงานมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว และเคยทำงานมาหลากหลาย
เรียกได้ว่าอายุยังน้อย แต่ความมุ่งมั่นและความตั้งใจเกินร้อย
ด้วยความที่ว่าผมเองก็เคยเป็นเด็กใหม่ไฟแรงมาก่อนเหมือนกัน ผมก็เลยพอจะแนะนำบางอย่างให้น้องเขาได้
และด้านล่างนี้คือเรื่องที่ผมเล่าและคำแนะนำที่ผมให้น้องเขา ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์สำหรับคุณเหมือนกัน (เพราะผมเชื่อว่าคนที่เข้ามาอ่านบล็อกของผมนั้นมีจุดร่วมเหมือนกันอย่างนึงคือตั้งความหวังกับตัวเองไว้สูง เป็นสายที่อยากพัฒนาตัวเอง อยากดีขึ้น เก่งขึ้น กว่าตัวเองในเมื่อวาน)
หวังว่าเรื่องเล่าและคำแนะนำของผมจะมีประโยชน์กับคุณนะครับ 🙂
เรื่องเล่าและคำแนะนำสำหรับคนที่ตั้งความหวังไว้สูง
ตอนเรียนจบใหม่ๆ ตอนป. ตรี ผมก็แอบคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ในระดับนึง เพราะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของไทย และก็มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจระหว่างเรียนมาบ้าง เรียกได้ว่าช่วงนั้น Ego ของผมเองถือว่าค่อนข้างแรงเลย
แต่พอไปเผชิญโลกแห่งความจริง ทั้งใน Corporate และทั้งในการทำธุรกิจของตัวเองแบบจริงจัง (ที่ไม่ใช่แค่การทำ Part Time เหมือนตอนเรียนมหาวิทยาลัย) หลายสิ่งที่ทำอย่างตั้งใจกลับไม่ได้ออกมาดั่งใจ ผิดหวังมาหลายครั้ง เฟลมาหลายรอบ จนตระหนักได้ว่าเราเองก็เป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ของโลกใบนี้เท่านั้นเอง เราไม่ได้เก่งไปกว่าใครเลย
ช่วงนั้น เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ดูถูกตัวเอง มีข้อสงสัยในความสามารถตัวเองมากๆ ระดับนึงเลย
แต่พอเวลาผ่านไป ทุกหลายความล้มเหลว ก็จะมีหนึ่งความสำเร็จอยู่ มันก็เลยทำให้ผมเริ่มกลับมาเห็นคุณค่าและเริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
คือประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาก็ทำให้ผมนั้นไม่มี Ego ที่แรงจนเกินไป (ทั้งนี้ ผมคิดว่าการมี Ego ก็ยังคงสำคัญอยู่ ไปอ่านเหตุผลได้ในข้อที่ 8 ของบทความ 30 สิ่งที่ผมเรียนรู้มาก่อนอายุ 30 ปี) และไม่ดูถูกตัวเองจนไม่กล้าทำอะไร
และนี่คือ 5 สิ่งที่ผมฝากไว้ให้กับน้องที่มาปรึกษาผมครับ
สิ่งที่อยากจะฝากไว้สำหรับคนที่ตั้งความหวังไว้สูง
1. จงยอมแพ้ที่จะไม่พ่ายแพ้ไปซะ
เพราะทุกคนที่สำเร็จหรือสมหวัง ต่างต้องเคยเจอความผิดหวังหรือความพ่ายแพ้มาก่อนทั้งนั้น
มันเป็นเรื่องปกติมากๆ นี่จะเกิดกับคนที่ทำนู่นนี่นั่นหลายอย่าง สิ่งสำคัญคือให้เข้าใจธรรมชาติของมันและทำใจให้ยอมรับกับความพ่ายแพ้ไปให้ได้ อย่าเสียกำลังใจนาน
เก็บความพ่ายแพ้มาเป็นบทเรียนให้ก้าวต่อไปและชนะให้ได้ในอนาคต
สิ่งที่เราเห็นเรื่องความสำเร็จของคนเป็นแค่ฉากหน้า ในฉากหลังมีความล้มเหลวหลายอย่างที่มากกว่าความสำเร็จอย่างแน่นอน
2. เข้าใจว่าทุกสิ่งมีเวลาของมัน
“Success doesn't come overnight”
ถึงแม้ว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ ให้เวลากับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังล้มเหลว มันก็ไม่ได้แปลก
เพราะหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างมันก็มีช่วงเวลาของมัน ที่เรายังไม่สำเร็จในวันนี้ อาจจะเป็นเพราะมันอาจจะไม่ใช่เวลาของเรา
สิ่งที่เราทำอาจจะมาเร็วเกินไป หรือสิ่งที่เราสั่งสมมายังไม่เพียงพอ
เราสามารถดูคนที่สำเร็จมากๆ ตั้งแต่อายุน้อยๆ เป็นตัวอย่าง และเรียนรู้จากพวกเขาได้ แต่อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น กับมันมากเกินไป เพราะจะทำให้กดดันและเครียดไปเปล่าๆ
3. Slack off บ้างก็ได้
ความสำเร็จในเรื่องการงานคือส่วนหนึ่ง ไปใช้ชีวิต ไป Enjoy กับชีวิตบ้างก็ได้ จะเล่นเกม เที่ยว ดูหนัง หรืออื่นๆ อะไรที่ชอบ ก็หาเวลาทำมันด้วย
เรื่องบางเรื่อง พอเวลาผ่านไปแล้ว แล้วเราจะย้อนกลับไปทำมัน มันทำไม่ได้ หรือมันอาจจะไม่ Enjoy เหมือนเก่า
รู้จัก Seize the Moment ไว้ให้ดีๆ
4. สมดุล 3 ด้านที่ต้องรักษา
Mind, Body & Soul
สมอง ร่างกาย และจิตใจ ต้องเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาและรักษาไปพร้อมๆ กัน มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการร้อยล้านพันล้าน แล้วจิตใจแตกสลาย ร่างกายอ่อนปวกเปียก
ความสำเร็จใดๆ ที่ได้มา มันไม่สามารถชดเชยกับสภาพจิตใจและสภาพร่างกายที่เสียไปได้เลย
เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าจิตใจและร่างกายพร่อง ต้องสรรหาเวลามาเติมมันกลับมา
5. ตั้งใจทำทุกสิ่งให้ดี
วางแผน ตั้งมั่น มุ่งมั่น
ถ้าพ่ายแพ้ ล้มเหลว และเจ็บปวด จงกลับไปดูที่ข้อแรกของคำแนะนำนี้
สรุป
และนี่คือคำแนะนำที่ผมได้ให้กับน้องที่มาปรึกษาผมไป ซึ่งผมหวังว่าคำแนะนำเหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณเหมือนกันนะ
ป.ล. ถ้าคุณไม่เห็นด้วยหรือเจอประสบการณ์ที่ต่างไป จริงๆ มันก็ไม่แปลกครับ เพราะล้านคน ล้านเส้นทาง ล้านความคิด
มีเรื่องไหน สิ่งที่ไหน ที่เห็นไม่เหมือนกัน เขียนมาแชร์กันได้นะครับ 🙂
