ก่อนที่จะไปเข้าเนื้อเรื่องจริงๆ ของบทความนี้ ผมต้องขอแสดงว่ายินดีก่อนว่าคุณได้ผ่านข้อแรกสุดของการทำให้ตัวเองเติบโตในหน้าที่การงานแล้ว 🙂
ข้อแรกที่ว่านี้คือ “การแสดงความสนใจในการที่จะทำให้ตัวเองเติบโตขึ้น”
ในบทความนี้ผมจะขอแชร์ความเห็นจากมุมมองของผมว่าคนที่จะเติบโตได้ (หรือเติบโตเร็วกว่าคนอื่นๆ) ควรจะมีแนวคิดอย่างไรและควรจะต้องทำอะไรบ้าง
10 แนวคิดทำให้ตัวเองเติบโตในหน้าที่การงาน
2. มีเป้าหมายในตัวเอง
การทำงานเพื่อให้เสร็จไปวันๆ นั้นไม่พอ สิ่งที่คุณควรจะต้องมีเพื่อให้คุณเติบโตในหน้าที่การงานคือ “การบอกว่าตัวเองอยากเติบโต”
ซึ่งแน่นอนว่าแค่ความอยากนั้นมันไม่เพียงพอ แต่คุณควรจะต้องมีแผนการที่จะทำให้ตัวเองเติบโตในหน้าที่การงานด้วย
ความอยากโดยไร้แผนการนั้นคือความฝันที่อาจจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นจริง
3. อย่าทึกทักเอาเอง
ความเดิมจากข้อที่แล้ว… คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าแผนที่คุณวางมานั้นจะทำให้คุณเติบโตได้จริงๆ
วิธีการที่ผมคิดว่าง่ายและตรงประเด็นที่สุดคือการถามครับ ซึ่งการถามที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะถามใครก็ได้นะครับ
คนที่คุณควรที่จะถามเป็นอันดับแรกๆ เลยคือหัวหน้างานหรือ Direct Report ของคุณเพราะเขาจะเป็นที่สามารถตอบถึงความคาดหวังที่เขามีกับตัวคุณได้ดีที่สุดและโดยปกติแล้ว คนคนนี้แหละที่จะเป็นคนที่ประเมินผลงานของคุณ
นอกเหนือจาก Direct Report แล้ว การขอ Feedback ถึงสิ่งที่คุณสามารถปรับปรุงได้จากเพื่อร่วมงานก็เป็นสิ่งที่สามารถช่วยคุณได้เช่นเดียวกัน
วิธีการที่ผมชื่นชอบคือการทำ Anonymous Feedback ครับ โดยที่ผมและ Partner จะเปิดโอกาสให้น้องๆ ได้รีวิวผมและ Partner ของผมได้โดยที่เขาไม่ต้องระบุตัวตนว่าเขาเป็นใคร ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คนที่ไม่กล้าให้คอมเมนต์ตรงๆ กล้าที่จะเปิดใจให้ Feedback กับเราครับ คุณสามารถใช้วิธีนี้สำหรับการขอ Feedback จากเพื่อนร่วมงานเช่นเดียวกันครับ (สามารถใช้เครื่องมือพื้นฐานอย่าง Google Form เพื่อทำการขอ Feedback ได้ครับ)
4. ช่วยแก้ไขปัญหา
ผมรับรองได้ว่าร้อยทั้งร้อย บริษัทหรือนายจ้างของคุณนั้นจ้างคุณมาเพื่อให้คุณแก้ปัญหาอะไรบางอย่างด้วยความสามารถที่คุณมี
ยิ่งคุณแก้ไขปัญหาที่มี Impact ได้มากเท่าไหร่หรือยิ่งคุณทำให้หัวหน้างานของคุณหยิบงานออกจากตัวเขาได้มากเท่าไหร่ โอกาสเติบโตของคุณก็จะยิ่งมากเท่านั้น
และแน่นอนว่าถ้าคุณทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับข้อนี้คือการนำเอาปัญหามาให้บริษัทหรือนายจ้างอย่างไม่รู้จบ โอกาสการเติบโตในหน้าที่การงานของคุณก็จะลดน้อยลงเช่นเดียวกัน
5. คิดเผื่อ
ผมชอบนิทานอยู่เรื่องนึงครับ
นิทานเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของชายคนนึงที่คิดว่าเขาทำงานเยอะและหนักมากๆ แต่ไม่เติบโตในหน้าที่การงานสักที ทั้งๆ ที่เพื่อนร่วมงานอีกคนกลับโตเอา โตเอา จนกระทั่งเขาทนไม่ไหวแล้วไปถามหัวหน้า
หัวหน้าก็ไม่ยอมเฉลยแต่ให้งานเพิ่มโดยการไปศึกษาสินค้าใหม่ของคู่แข่ง
ชายคนนั้นถึงจะไม่พอใจที่หัวหน้าไม่ให้คำตอบ แต่ก็เอางานที่หัวหน้ามอบหมายให้กลับไปทำ
พอชายคนนั้นทำงานเสร็จแล้วเอากลับมานำเสนอหัวหน้า เขาก็นำเสนอสินค้าใหม่ของคู่แข่งออกมาได้ดี แต่พอหัวหน้าถามจี้เรื่อยๆ ว่าคู่แข่งเจ้านี้เป็นใคร ใครเป็นเจ้าของ เขามีแผนการตลาดอย่างไร แล้วบริษัทของเราจะมีวิธีการสู้กับเขาอย่างไร? ชายคนนั้นกลับตอบไม่ได้เพราะหัวหน้าแค่มอบหมายงานให้ไปศึกษาเกี่ยวกับสินค้าคู่แข่งมาเท่านั้น พร้อมทั้งด่าหัวหน้าในใจว่าก็มอบหมายงานมาเท่านี้ แล้วจะอยากได้อะไรเพิ่มเติมล่ะ
แต่พอหัวหน้าเชิญเพื่อนร่วมงานของเขาที่เติบโตในหน้าที่การงานเข้ามา (ซึ่งคนคนนั้นก็ได้รับมอบหมายงานแบบเดียวกัน) นอกเหนือจากการวิเคราะห์สินค้าใหม่ของคู่แข่งแล้ว เขายังบอกข้อมูลที่หัวหน้าถาม (แต่เขาตอบไม่ได้) ได้หมด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าคุณอยากเติบโตคุณต้องคิดเผื่อ คิดให้จบ และคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าให้ได้ครับ ถ้าคุณลงมือทำได้ แต่คิดต่อเองไม่ได้ ความเติบโตของคุณจะถูกจำกัดไว้ครับ
6. ทำงานมากกว่าตำแหน่ง
ไม่มีใครเติบโตขึ้นได้ด้วยการทำอะไรเหมือนๆ เดิม
แนวคิดที่ว่า “ถ้าคุณเป็น Officer ก็พยายามรับผิดชอบงานของ Officer ไป ได้โปรโมตเป็น Manager เมื่อไหร่ค่อยไปทำงานของ Manager” เป็นสิ่งที่จะขัดขวางความเจริญเติบโตของคุณครับ
ถ้าคุณอยากโตขึ้น คุณต้องแสดงให้เห็นก่อนว่าคุณสามารถทำงานที่มากกว่าตำแหน่งปัจจุบันของคุณได้ ซึ่งคำว่ามากกว่าในที่นี้ของผมไม่ได้หมายถึงปริมาณงานแต่หมายถึงความรับผิดชอบนะครับ
ถ้าคุณซึ่งเป็น Officer แสดงให้เห็นว่าคุณเอาลูกค้าอยู่หรือคุณนำทีมได้โดยการทำมากกว่าตำแหน่งเสมอๆ เมื่อตำแหน่ง Manager ว่างอยู่ หัวหน้าของคุณจะต้องนึกถึงคุณก่อนใครแน่ๆ ครับ
ผมอยากให้คุณยึดแนวคิดที่ว่า “ถ้าฉันอยากจะถูกเลื่อนตำแหน่ง ฉันต้องทำตัวให้สมกับตำแหน่ง” มากกว่าการที่คิดว่า “ไว้ฉันถูกเลื่อนตำแหน่ง ฉันค่อยทำตามหน้าที่ของตำแหน่งนั้นๆ” ครับ
7. รับงานยาก
ดังที่เจษฏาจารย์ ฟ. ฮีแลร์กล่าวไว้ว่า “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย” หรือ “Two men look out through the same bars: one sees the mud, and one the stars”
คนแต่ละคนเจองานยากเหมือนกัน แต่ถ้ามุมมองที่มีต่องานนั้นๆ ไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาจะต่างกันมหาศาลครับ
ถ้าคุณมองว่างานยากเป็นงานที่ท้าทายและเป็นการเปิดโอกาสที่จะทำให้คุณได้พิสูจน์ตัวเอง ถ้าคุณทำงานยากออกมาสำเร็จ คุณจะได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าคุณทำงานยากออกมาล้มเหลว อย่างน้อยคุณได้เรียนรู้ครับ
จะมองงานยากเป็นโคลนตมหรือดวงดาวที่พราวพราย คุณเลือกได้ครับ
8. เรียนรู้อยู่ตลอด
โลกในวันนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก ความรู้หลายๆ อย่างที่เคยใช้ได้ในอดีต วันนี้กลับเป็นสิ่งที่ล้าสมัย วิธีการอัปเดตความรู้ของคุณที่เร็วและดีที่สุดคือการพยายามขวนขวายด้วยตัวเอง เรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่ตลอดโดยที่ไม่ต้องรอให้คนมาป้อนให้
ผมแนะนำให้คุณลองสำรวจตัวเองดูครับว่านอกเหนือจากเวลาทำงานจริงๆ เวลาว่างของคุณใช้ไปกับอะไรบ้าง
ถ้าคุณแบ่งเวลามาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ (หรือหาประสบการณ์ใหม่ๆ) ที่เป็นทักษะแห่งอนาคตแล้ว ตัวคุณเองจะมีมูลค่าขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วโมงบินที่มากกว่าก็มีโอกาสสูงกว่า
9. ทำให้คนอื่นเติบโตขึ้น
ถ้าคุณพึ่งเริ่มต้นทำงาน ทักษะและความสามารถของคุณจะเป็นตัวที่ช่วยให้คุณเติบโตขึ้นในหน้าที่การงาน
แต่ถ้าในระดับที่สูงขึ้นไป การที่จะเติบโตขึ้นไปโดยใช้เพียงแต่ทักษะและความสามารถของคุณนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะต่อให้คุณจะเก่งแค่ไหน เวลาของคุณก็ยังคงจำกัดอยู่ที่ 24 ชั่วโมงต่อวันอยู่ดี
เพราะฉะนั้นวิธีการที่คุณจะย้ายออกจากที่ที่คุณอยู่ไปในที่ที่สูงขึ้นคือคุณจะต้องทำให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทนคุณได้
คุณควรจะต้องทำให้พวกเขาเติบโตขึ้น ยิ่งเขาเก่งกว่าคุณเท่าไหร่ใน Scope งานของคุณ ก็จะยิ่งดี
ซึ่งคุณสามารถเริ่มต้นง่ายๆ ได้ด้วยแนวคิด 3 อย่างนี้ 1. Feedback – คอยให้คำติชมอย่างสม่ำเสมอ 2. Coach – คอยสอนและให้คำแนะนำ 3. Be a Role Model – เป็นแบบอย่างที่ดี
We rise by lifting others
Note: ทั้งนี้ไม่ได้หมายความคนที่โฟกัสแต่ทักษะและความสามารถของตัวเองจะโตไม่ได้เลยนะ ผมคิดว่าคนที่เป็น Specialist ที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางสูงยังสามารถ เติบโตได้อยู่ แต่ถ้าคนแบบนี้จะเติบโตไปสูงมากๆ จนถึงขั้นเป็น C-Level, VP หรือ Director ยังไงเขาก็ต้องมีทักษะที่ทำให้คนอื่นเติบโตขึ้นด้วยอยู่ดี
10. อยู่ในที่ที่ให้โอกาสเติบโต
คำแนะนำในหัวข้อนี้เรียบง่ายมากครับ
ต่อให้คุณเก่งหรือก้าวหน้าแค่ไหน ถ้าอยู่ในบริษัทที่ไม่มีตำแหน่งให้คุณขึ้นไป ไม่เปิดโอกาสให้คุณเติบโตขึ้น ยังไงคุณก็ไม่สามารถเติบโตขึ้นได้อยู่ดี
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทนั้นๆ เปิดโอกาสให้เติบโตรึเปล่า?
ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ในเรื่องของโอกาสการเติบโต การเลื่อนตำแหน่ง สามารถดูได้ง่ายเพราะบริษัทเหล่านี้ต้องมีคนที่มีความสามารถในการบริหารคอยจัดการอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่มักจะเจอสำหรับบริษัทใหญ่คือ “ระยะเวลา”
คือโอกาสได้ขึ้นหรือเลื่อนตำแหน่งมีแน่ๆ แต่ระยะเวลาแต่ละบริษัทหรือแต่ละธุรกิจก็อาจจะไม่เท่ากัน ซึ่งคุณต้องลองเปรียบเทียบดูว่าคุณสามารถรอได้รึเปล่า
ถ้าเป็นบริษัทเล็ก จะดูเรื่องโอกาสการเติบโต ผมแนะนำให้ดูเรื่องการเติบโตของรายได้ (และกำไร) ของบริษัทครับ ถ้าบริษัทมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นปีละหลายสิบเปอร์เซนต์หรือเป็นหลักร้อยเปอร์เซนต์ โอกาสที่บริษัทนั้นๆ จะขยายทีมก็จะมีมาก เมื่อขยายทีมก็จะต้องหาคนมาบริหารจัดการ
กลับกัน ถ้าบริษัทนั้นๆ เติบโตไม่มาก ปีละไม่กี่ % (หลักหน่วย) โอกาสที่คุณจะเติบโตขึ้นก็อาจจะมีไม่มากครับ
เช่นผมลองสมมุติง่ายๆ ว่า บริษัทหนึ่งตั้งเป้าว่าจะเพิ่มรายได้จากปีละ 7 ล้านบาทเป็น 7.5 ล้านบาท เลยทำให้ต้องเพิ่มคนจาก 7 คนเป็น 9 คน
สังเกตเห็นอะไรไหมครับ?
จำนวนคนไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่เลย นั่นก็หมายความโอกาสที่บริษัทนี้จะมีตำแหน่งที่สูงขึ้นใน Organization Chart ที่จะมาเป็น Middle Management อย่าง Manager หรือ Director ก็จะน้อยลงไปด้วย เพราะคนที่ทำงานอยู่ในบริษัทนั้นแทบจะไม่ต้องบริหารจัดการใครเลย แต่จัดการตัวเองให้ดีก็เพียงพอแล้ว
นอกจากจะทำตัวเองให้เป็นคนที่ใช่แล้ว ต้องพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ใช่ด้วยครับ
สรุป
และนี่ก็คือ 10 แนวคิดที่จะทำให้คุณเติบโตในการทำงานนะครับ ลองเอาไปปรับใช้ดู ได้ผลไม่ได้ผลอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ
Bonus
ขอขายของ 3 บรรทัด 🙂
บริษัทของผม Magnetolabs และ Content Shifu กำลังหาเพื่อนร่วมงาน 10 กว่าตำแหน่งครับ ถ้าคุณอยากทำงานในบริษัทที่ทำให้คุณได้เรียนรู้อยู่ตลอดผ่านการแก้ไขปัญหาและทำงานยากๆ และเป็นบริษัทที่เติบโตขึ้นมากกว่า 100% ในทุกปี ลองเข้าไปดูตำแหน่งที่เปิดรับได้ที่นี่นะครับ