Metaverse คืออะไร? ทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆ เจ้าอย่าง Facebook ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Meta, Microsoft, Tencent หรือบริษัทเกมอย่าง Epic Games ถึงลงมาเล่นในตลาดนี้? แล้วมันจะส่งผลต่อชีวิตของเรา – ผม และคุณ ยังไง? เดี๋ยวผมจะมาเล่าให้อ่านในบทความนี้ครับ
ว่าด้วยเรื่องของ Ready Player One
“Ready Player One” หนัง Sci fi ของ Steven Speilberg ที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีที่ตัวเอก Parzival เป็นตัวละครในเกม แข่งขัน ต่อสู้ และพบรักบน Platform ที่ชื่อว่า The OASIS
ซึ่งเรื่องราวอย่างใน Ready Player One นั้นจะไม่ได้เป็นแค่หนังอีกต่อไป
เพราะว่าในปีนี้ มีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายเจ้าที่เขาบอกว่าจะมุ่งเป้ามาเรื่องนี้อย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Social Media อย่าง Facebook ที่บอกว่าอนาคตของพวกเขาคือ Metaverse และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta, บริษัทอย่าง Microsoft ที่วางแผนจะผสานโลก Digital และ Physical เข้าด้วยกัน หรือแม้แต่บริษัทเกมชื่อดังอย่าง Epic Games เจ้าของเกม Fortnite ที่กำลังมุ่งหน้าไปทางด้านนี้อย่างเต็มกำลัง
Metaverse คืออะไร?
มาถึงตรงนี้ คุณอาจจะกำลังทำหน้างงและสงสัยอยู่ว่าแล้วไอ้ Metaverse มันคืออะไรกันแน่?
ผมชอบคำอธิบายของ Meta อันนี้ครับ เพราะมันเข้าใจง่าย
Meta อธิบายว่า Metaverse คือพื้นที่โลกเสมือนจริงที่คุณสามารถสร้างและค้นหาสิ่งต่างๆ กับคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความจริงที่เดียวกับคุณ (The “metaverse” is a set of virtual spaces where you can create and explore with other people who aren’t in the same physical space as you.)
ถ้ายังไม่เห็นภาพ ผมขออธิบายบริบทแบบไทยๆ แล้วกันนะครับ ถ้าโลกใบนี้คือโลกแห่ง Metaverse แล้ว
คุณอาจจะไม่ต้องไปเดินตลาดจริงๆ แต่เดินตลาดแบบ Virtual ต่อรองราคากันสดๆ ในนั้นเลย
หรือคุณอยู่ที่บ้านในกรุงเทพ แต่คุณใส่แว่น AR/VR (Augmented Reality/Virtual Reality) แล้วเล่นเกมกับเพื่อนที่อยู่เชียงใหม่ได้
หรือการบริหารประเทศ ผู้บริหารสามารถบริหารทางไกลได้ ไม่ต้องไปดูหน้างานอีกแล้ว
เอ๊ะ หรือปัจจุบันลุงๆ เขาล้ำ ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้กันหมดแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ แต่ก็น่าจะไม่ใช่…
…กลับมา Metaverse
ประโยชน์ของ Metaverse คืออะไร?
จริงๆ แล้วผมว่าประโยชน์ของ Metaverse เนี่ยมีหลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็น
การเรียนรู้
คนอาจจะมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมและหลากหลายมากยิ่งขึ้น รูปแบบของการศึกษานั้นจะเปลี่ยนไป เช่นถ้าเรียนหมอจะผ่าตัด ก็ไม่ต้องเรียนรู้อาจารย์ใหญ่จริงๆ แต่ใช้วิธีการเรียนรู้ผ่านอาจารย์ใหญ่ในเวอร์ชั่นแบบ Virtual Reality หรือ Augmented Reality แทน
หรือการพบเจอ พูดคุยกับเพื่อนต่างถิ่น ต่างแดน การเรียนรู้เรื่องภาษา วัฒนธรรมก็จะเปิดกว้างขึ้น บางทีเราอาจจะไม่ต้องเข้าใจภาษาของเขาแต่เราก็คุยกันรู้เรื่อง เข้าใจบริบทต่างๆ ของเขา
การทำงาน
การมาของ Metaverse อาจจะทำให้เกิดวิธีการทำงานใหม่ๆ บริการใหม่ๆ ตำแหน่งใหม่ๆ ที่ตอนนี้มันอาจจะยังไม่ได้มีอยู่ อนาคตอาจจะมีตำแหน่งชื่อว่า Metaverse Engineer, Metaverse Designer หรือ Chief Metaverse Officer ก็ได้
แล้วก็ Metaverse จะทำให้การทำงานแบบที่ไม่เจอหน้ากันแบบตัวเป็นๆ เฉาน้อยลงกว่าเคย
ช่วงนี้ทำงานแต่ในบ้านมาได้ครึ่งปีแล้ว ผมก็จะรู้สึกเฉาๆ หน่อย ทีมก็จะรู้สึกเฉาๆ เหมือนกัน
คือมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ยังไงก็อยากจะปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งไอ้ Metaverse จะทำให้การปฏิสัมพันธ์กันตอนทำงานเหมือนจริงกันมากขึ้น เหมือนการประชุมในหนังเรื่อง Kingsman หรือตามจักรวาล Marvel
การใช้ชีวิต
ในอนาคตมันอาจจะมีอะไรเหมือน Ready Player One ที่มนุษย์เราจะใช้ชีวิตกันแทบทั้งวันอยู่แต่ในโลกเสมือน ทำในสิ่งที่อยากทำ เป็นในสิ่งที่อยากจะเป็น Imagination is the limit ก็เป็นไปได้
สรุป
ทุกโอกาส มีความเสี่ยง ทุกความน่าตื่นเต้น มีอันตรายรออยู่
อย่างที่ Facebook จะมุ่งเป้ามาที่ Metaverse คนก็จะยังสงสัยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล คือจะยิ่งโดนยิงโฆษณาใส่มากขึ้นรึเปล่า
หรือยิ่งโลกเสมือนใหญ่ขึ้น โลกจริงจะยิ่งเล็กลงจนความสัมพันธ์ระหว่างคนจริงๆ จะหายไปรึเปล่า
คำถามเหล่านี้ ผมคิดว่าก็ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบนะครับ เดี๋ยวเราต้องมารอดูกันต่อไปว่าโลกของเราจะพาโลกแห่ง Metaverse ไปทางไหนนะครับ