ใครเป็นคนที่คุณชื่นชมและเป็นแบบอย่างให้กับคุณ?
ในชีวิตของคนเรา จะมีคนที่เรามองว่าเขาเป็นคนที่เราอยากเป็นให้ได้อย่างเขา (เรียกง่ายๆ ว่าเป็นบุคคลตัวอย่าง และเป็นเป้าหมายของเรา) อยู่บ้างแน่ๆ
คำถามที่คุณน่าจะมีอยู่ในใจก็คือ ไม่อยากแค่มองแต่อยากเป็นให้ได้แบบเขา ทำยังไงดี?
วันนี้ผมมีสูตรง่ายๆ ที่จะทำให้คุณสามารถทำให้ตัวเองกลายเป็นคนที่คุณอยากจะเป็นในอนาคตได้ด้วยสูตรที่ชื่อว่า “WTF” ครับ
และแน่นอนว่า WTF ตัวนี้ มันไม่ได้เป็นคำย่อของ What The F… ครับ
รู้จักกับสูตร “WTF”
1. W – Watch
“ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่” ฉันใด อยากเป็นเหมือนใคร ก็ให้สังเกตดูเขาฉันนั้น
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เริ่มต้นได้ง่ายที่สุด เริ่มจากการสังเกตดูก่อนว่าคุณอยากเป็นเหมือนใคร และดูว่าเขาคนนั้นทำอะไร
คุณอาจจะเริ่มด้วยการอ่านประวัติของคนคนนั้นผ่านการค้นหาข้อมูลผ่าน Google หรือไปสังเกตการณ์สิ่งที่เขาทำหรือธุรกิจของเขาจริงๆ
เช่นถ้าคุณสนใจอยากทำธุรกิจสาย Tech Startup คุณอาจจะลองไปศึกษาประวัติของ Mark Zuckerberg (Facebook) Jeff Bezos (Amazon) หรือ Jack Ma (Alibaba) ดู หรือถ้าไกลตัวเกินไปก็อาจจะดูตัวอย่างจากนักธุรกิจไทยอย่างพี่หมู (Ookbee) พี่โบ๊ท (Builk) หรือพี่ยอด (Wongnai) ก็ได้
หรือถ้าอยากเป็น YouTuber ชื่อดัง คุณก็อาจจะลองไปติดตามและศึกษา Channel ของ YouTuber ชื่อดังอย่าง PewDiePie หรือของไทยอย่าง บี้ Bearhug หรือ BoomTharis ก็ได้
หรือถ้าอยากเป็นนักลงทุนอสังหา ก็อาจจะไปดูแนวคิดของเจ้าของ AP หรือ Sansiri หรือถ้ามันดูยิ่งใหญ่ไกลเกินตัว (และดูต้องใช้งบเยอะเกินไป) ก็อาจจะลองไปศึกษาดูจากนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนในพวกบ้านเช่า คอนโด อะไรแบบนั้นก็อาจจะใกล้ตัวกว่า
ในขั้นนี้คือการศึกษา เขาทำอะไร เขาทำยังไง และความผิดพลาดที่เขาเคยทำมามันมีอะไรบ้างที่ควรรู้
เพราะการเรียนรู้จากเรื่องราว ก่อนวาดฝันที่แพรวพราวเป็นเรื่องสำคัญ
อ่านเพิ่มเติม: เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน จากคนอ่านเขียนไม่ได้ สู่การเป็นผู้ก่อตั้ง Virgin Group และ 10 บทเรียนธุรกิจจาก Sir Alex Ferguson ผู้จัดการทีมฟุตบอลในตำนาน
2. T – Talk
การศึกษาและดูงานก็เป็นวิธีนึงที่ดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปคือต้อง “คุย” ครับ
เพราะการที่คุณศึกษาและดูบุคคลตัวอย่างของคุณ สิ่งที่คุณอาจจะได้เห็นคือประสบการณ์ หรือเนื้อหาที่ถูกปรุงแต่งหรือย่อยมาแล้ว และบ่อยครั้ง สิ่งที่ถูกแชร์มาให้คุณเห็นนั้นคือผลลัพธ์ ไม่ใช่ขั้นตอนระหว่างทาง
ซึ่งขั้นตอนระหว่างทางนี่แหละที่เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้คุณรู้และเข้าใจว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำตามได้ (และอยากทำ) จริงๆ รึเปล่า
สำหรับการเรียนรู้ “กระบวนการ” สำคัญกว่า “ผลลัพธ์” ครับ
การหาโอกาสไปพูดคุย ไปรับฟัง ไปถามคำถาม เรื่องราวในอดีต แผนการในอนาคต วิธีการทำงาน วิธีการคิดของพวกเขาจะทำให้คุณเข้าใจและเห็นภาพมากยิ่งขึ้น
การคุยกับคนที่ใช่ มีประสบการณ์ตรงในสิ่งที่เราอยากทำ แค่ 30-60 นาที ในบางครั้งอาจจะมีประโยชน์กว่าไปนั่งงมเองเป็นเดือน หรือนั่งเรียนเป็นเทอมด้วยซ้ำ
ผมเองก็เคยได้รับประสบการณ์แบบนี้อยู่บ้างผ่านรายการ FounderCast (คือได้มีโอกาสไปคุยกับคนที่เราสนใจ คนที่เราคิดว่าเราอยากเป็นเหมือนเขา) และหลายๆ ครั้ง การพูดคุยในครั้งนั้น มันก็ Influence การกระทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งในแบบที่ทำให้ผม “ไฟลุก” คือฟังเสร็จแล้วเอาไปลงมือทำจริงๆ เลย กับในแบบที่ “ไฟมอด” – คือฟังเสร็จแล้ว เออ ดีแล้วที่เราไม่ทำ เพราะเราไม่พร้อมแลกเหมือนเขาหรือพิจารณาดูแล้ว จุดแข็งที่เขามีไม่ใช่สิ่งที่เราจะมีได้ง่ายๆ
และถามว่าเราจะเข้าถึงบุคคลตัวอย่างของเราได้ยังไง?
เอาจริงๆ คำตอบของคำถามนี้ง่ายมากเลยครับ
ถ้าโอกาสไม่เข้ามาหา เราก็ต้องเดินเข้าไปหาโอกาสเอง
ซึ่งการหาโอกาสด้วยการติดต่อหรือทักเข้าไปพูดคุยกับบุคคลตัวอย่างของคุณเอง แน่นอนว่ามันไม่สำเร็จทุกครั้งหรอก ทักไป 10 คน อาจจะมีโอกาสได้คุยจริงๆ 2-3 คน (ขึ้นอยู่กับวิธีการ Approach ของคุณและความน่าสนใจของตัวคุณเองด้วย)
โอกาสในที่นี้อยู่ที่ 20-30%
แต่ถ้าคุณเอาแต่เฝ้าฝัน รอให้โอกาสเดินเข้ามาหา คนเหล่านั้นเดินผ่านเข้ามาและก็จะเดินผ่านคุณไป โอกาสของคุณคือ 0% ครับ
เพราะ 60 นาทีจากการพูดคุยมีค่ามากกว่า 60 วันจากการมองดูครับ
3. F – Follow
การศึกษาและการรับฟังเรื่องราว สุดท้ายมันจะเป็นเพียงแค่แรงบันดาลใจที่ทำให้เรารู้สึกดีหรือเป็นเพียงแค่ความรู้ที่เอาไว้ประดับสมอง
เพราะฉะนั้น พอฟังเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจและให้ความรู้เหล่านั้นแล้ว เราต้องใช้เรื่องราวและความรู้เหล่านั้นมาบันดาลให้ใจบันดาลแรงให้ลงมือทำตามด้วย
แต่ก็ไม่ใช่พอไปฟังไปศึกษามาแล้ว ลงมือทำตามอย่างไม่ลืมหูลืมตา
สิ่งที่คุณทำคือต้องฟังเรื่องราวจากหลายๆ คนและเอามา ค.ว.ย. – คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (รู้สึกนี้บทความนี้มีคำศัพท์ที่สุ่มเสี่ยงเยอะแฮะ ฮา) และเอามาเลือกทำตามในรูปแบบของคุณ
เพราะบริบทของคุณกับเขาไม่เหมือนกันและไม่มีทางที่จะเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นคำว่า Follow ในที่นี้ไม่หมายความน่าจะต้องทำตามเขาไปซะทุกอย่าง แต่ให้เริ่มเดินตามเส้นทางที่พวกเขาเคยเดิน จากนั้นปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
เช่นถ้าคุณอยากทำ Tech Startup และสร้างมันเป็นธุรกิจจริงๆ ได้เหมือนบุคคลตัวอย่างของคุณ (หรือจะ Raise Fund และ Exit ก็ตามแต่) สิ่งที่คุณควรทำคือเริ่มสร้าง Solution หรือ MVP (Minimum Viable Products) มาทดสอบตลาด (แต่ทำธุรกิจ Tech สายไหน มี Business Model เป็นยังไง คุณเรียนรู้จากบุคคลตัวอย่างได้ แต่มันจะไม่มีทางเหมือนกัน)
หรือถ้าคุณอยากเป็น YouTuber มืออาชีพเหมือนบุคคลตัวอย่างของคุณ สิ่งที่คุณควรทำก็คือเริ่มสร้างช่องของคุณและเริ่มอัดและตัดต่อวีดีโอขึ้นมา (แต่ทำช่องอะไร คลิปแนวไหน คุณเรียนรู้จากบุคคลตัวอย่างได้ แต่มันไม่มีทางจะเหมือนกัน)
หรือถ้าคุณอยากเป็นนักลงทุนอสังหาเหมือนบุคคลตัวอย่างของคุณ สิ่งที่คุณควรทำคือเริ่มลงทุนในอสังหา (แต่ลงทุนอะไร ลงทุนยังไง คุณเรียนรู้จากบุคคลตัวอย่างได้ แต่มันจะไม่มีทางเหมือนกัน)
เพราะการเดินทางไกลหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก
อ่านเพิ่มเติม: อยากบินสูงขึ้นฟ้า ต้องกล้าโดดลงเหว
สรุป
นี่คือ “WTF” สูตรง่ายๆ 3 ข้อ แต่แน่นอนว่าตอนทำจริง ทำไม่ง่าย
ผมแนะนำว่าให้ฝึก W – Watch ให้เป็นนิสัย และหาโอกาส T – Talk กับบุคคลตัวอย่างบ้าง ส่วน F – Follow คือสิ่งที่คุณควรจะเริ่มมันโดยเร็วและขัดเกลามันจากการ Watch & Talk เสมอๆ ครับ
สุดท้ายขออวยพรให้คุณใช้ WTF เพื่อทำให้คุณเป็นคนในแบบที่คุณปรารถนาอยากที่จะเป็นได้สำเร็จนะครับ 🙂