7 วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (หลังแต่งงาน)

Featured Image productivity productivity tips update

เดือนที่ผ่านมา หนึ่งในอีเวนต์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมพึ่งได้ผ่านพ้นไป นั่นก็คือ “การแต่งงาน”

หลังแต่งงาน ผมต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น คงไม่สามารถนั่งทำงานที่ออฟฟิศถึงดึกๆ ดื่นๆ ได้อีกต่อไปแล้ว

สำหรับเรื่องปริมาณงานเองนั้นก็คงจะมีแต่มากขึ้น ไม่มีน้อยลง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมต้องปรับก็คงจะเป็น “ตัวเอง” ผมต้องบริหารเวลาให้ดียิ่งขึ้นและทำงานออกมาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผมนั่งคิดอยู่นานว่าผมต้องทำอะไรบ้างและผมได้ตกผลึกออกมาเป็นวิธี 7 วิธีซึ่งบางวิธีผมทำอยู่แล้วและคิดว่าได้ผลดี และบางวิธีเป็นวิธีที่ผมยังไม่เคยทำหรือไม่เคยทำได้มาก่อน (แต่อยากจะลองพยายามทำดู)

ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่มีเวลา (หรือคุณเป็นเหมือนผม – พึ่งแต่งงานหรือกำลังจะแต่งงาน) ผมรับรองว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้ไอเดียในการบริหารเวลาได้ดีขึ้นแน่นอนครับ

7 วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

1. ลบสิ่งเสพติดที่เรียกว่า “Facebook”

ผมเป็นคนที่ติดไถ Feed Facebook ครับ เรียกได้ว่าเปิดดูแทบจะทุกครึ่งชั่วโมงเลย ชอบอ่านนู่นอ่านนี่ไปเรื่อย (รวมถึงชอบอ่านเรื่องชาวบ้าน ฮา)

ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการ Install Extension ของ Chrome ชื่อว่า Newsfeed Burner ซึ่งจะ Block Feed จากเพื่อนๆ หรือเพจที่ผมติดตามอยู่บน Facebook ซึ่ง Extension ตัวนี้ใช้ได้ผลดี (ปัจจุบันก็ใช้อยู่) มันทำให้ผมไม่ค่อยได้เปิดดู Facebook บน Desktop สักเท่าไหร่แล้ว

แต่ปัญหาใหญ่ของผมคือ “แอปพลิเคชัน” ผมเคยลบแอป Facebook ไปครั้งนึงแล้วเพราะในตอนนั้นรู้สึกเสพติดไปกับมันจนกระทั่งไม่เป็นอันทำงานและมันทำให้ผมปวดหัวบ่อยๆ อีกด้วย แต่หลังจากที่ลบไปได้สัก 10-20 วัน ผมก็พ่ายแพ้ต่อความอยากเล่น ต้องดาวน์โหลดแอปกลับมาเล่นอีกครั้ง

แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้น เพราะผมมีภาระหน้าที่ที่มากขึ้น

ณ วันที่เขียนบทความนี้ ผมตัดสินใจลบแอปพลิเคชัน Facebook อีกครั้งเพื่อว่าผมจะได้สามารถโฟกัสในเรื่องต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น เดี๋ยวผมจะมาอัปเดตให้ได้อ่านนะครับว่าผลลัพธ์เป็นยังไงบ้าง 🙂

ป.ล. ถ้าผมมีความจำเป็นต้องโพสต์คอนเทนต์บน Facebook ส่วนตัวหรือเช็คอะไรบางอย่างที่คนส่งมาหรือแท๊กมาหา ผมจะใช้แอป Buffer หรือใช้ Facebook บน Desktop แทนครับ

ป.ป.ล. แต่แอป Page และ Ads ผมไม่ได้ลบนะครับ เพราะยังคงต้องใช้ 2 แอปนี้ตอนทำงาน

2. กินข้าวเที่ยงให้น้อยลง

“หนังท้องอิ่ม หนังตาหย่อน”

โดยปกติ ผมเป็นคนที่กินข้าวเที่ยงเยอะมากๆ อยู่แล้ว และยิ่งช่วง 3-4 เดือนนี้ ผมทำ Intermittent Fasting (วิธีการควบคุมน้ำหนัก โดยการกิน 8 ชั่วโมง และอด 16 ชั่วโมง ซึ่งผมเริ่มกินเที่ยงและมื้อสุดท้ายจะไม่กินหลัง 2 ทุ่ม) เพราะฉะนั้นพอถึงตอนเที่ยงผมจะกินเกือบเท่าๆ กับ 2 มื้อ แถมหลายๆ ครั้งยังพ่วงด้วยของหวานอีก

ด้วยพฤติกรรมแบบนี้มันก็เลยทำให้พอตกบ่ายผมจะเริ่มง่วง และพอเริ่มง่วง ผมก็จะไม่ค่อยมีสมาธิทำงาน

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมจะทำคือผมจะลดอาหารเที่ยงให้เหลือปริมาณแค่มื้อเดียวพอ จานเดียวจบ ไม่ตบด้วยของหวาน และถ้าช่วงบ่าย 3-4 โมงหิว ผมค่อยหาอะไรเล็กๆ กินรองท้องก่อนช่วงเย็น

ผมคิดว่าวิธีนี้น่าจะช่วยทำให้ผมสามารถโฟกัสกับงานได้มากขึ้นในช่วงบ่าย

3. ออกกำลังกายให้น้อยลง

ปกติแล้วผมจะพยายามออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ซึ่งผมจะตื่น 6 โมง แล้วขับรถไปฟิตเนสไปออกกำลังกายช่วงเช้าประมาณ 6.30-8.00 น. จากนั้นอาบน้ำแล้วก็ขับรถไปทำงานตอน 8.30 น.

ซึ่งการที่ผมจะตื่น 6 โมงได้นั้น ผมจะต้องนอนประมาณ 5 ทุ่มนิดๆ (ซึ่งจริงๆ แล้วผมยังสามารถทำอะไรได้อีกหลายอย่างตอนกลางคืน)

สิ่งที่ผมจะทำคือการตื่นให้สายขึ้นเป็นสัก 6.15 หรือ 6.30 และจากเดิมที่ฟิตเนสประมาณชั่วโมงครึ่ง ผมจะลดเวลาให้เหลือเพียงแค่ 1 ชั่วโมงพอ แต่ใน 1 ชั่วโมงนั้นผมจะออกกำลังกายให้หนักขึ้นและท้าทายขีดจำกัดของตัวเองให้ได้มากขึ้น (ก่อนหน้านี้สิ่งที่ผมทำคือการนั่งปั่นจักรยานชิวๆ พร้อมดู Netflix ไม่ก็นั่งเรียน Udemy ไปด้วย ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ค่อยเวิร์ค – ทำหลายอย่างพร้อมกัน สุดท้ายมันไม่ดีสักอย่าง)

ผมคิดว่าการออกกำลังกายให้น้อยลง แต่ออกให้หนักขึ้นน่าจะช่วยประหยัดเวลาผมได้

4. ตัดกิจกรรมบางอย่างที่ไม่จำเป็น (หรือสามารถตัดได้) ออก

พอมานั่งนึกๆ ดู ผมทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์อยู่หลายอย่างมากๆ

สิ่งที่ผมจะตัดออกแน่ๆ เลยคือการเลี้ยงสังสรรค์ (และกินเหล้า) ถ้าไม่ได้เป็นการไปกิน Company Dinner กับน้องๆ ผมจะพยายามไม่ปาร์ตี้ นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่จะตัด (หรือปรับลด) คือการเล่น FIFA กับน้องในออฟฟิศในช่วงเย็น

สิ่งที่ผมไม่ค่อยอยากลดแต่ต้องลดก็คือการเตะบอล (โดยปกติผมจะเตะบอลทุกวันศุกร์ 4 ทุ่มถึงเที่ยงคืน) ผมจะปรับลดให้เหลือเดือนละอย่างมาก 2 ครั้งพอ

อีกอย่างที่ผมใช้เวลากับมันเยอะมากๆ คือ Netflix ซึ่งผมคงปรับลดและอาจจะไม่ดูคนเดียว แต่ใช้เป็นลักษณะดูร่วมกันกับแฟนของผมแทน

5. ใช้ GTD อย่างเต็มขั้น

GTD ย่อมาจาก Getting Things Done ซึ่งเป็นแนวคิดในการทำงานอะไรบางอย่างให้สำเร็จ ซึ่งแนวคิดนี้จะมีโอกาสสำเร็จได้มากขึ้นถ้ามีเทคโนโลยีมาช่วย

ปัจจุบันนี้ผมใช้ Todoist ซึ่งเป็น แอป GTD ชื่อดังอยู่แล้ว แต่ผมอาจจะยังใช้มันได้ไม่ได้เต็มที่สักเท่าไหร่ (ผมใช้ Clickup สำหรับการทำ Project Management ในบริษัท)

หลังจากวันนี้ผมจะพยายามใช้มันมากยิ่งขึ้นทั้งกับเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว

* นอกจาก Todoist และ Clickup แล้ว ผมคิดว่ามีซอฟต์แวร์อีกหลายตัวที่ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานดียิ่งขึ้น คุณสามารถเข้าไปเรียนรู้ซอฟต์แวร์ต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่

6. คอม โต๊ะ เก้าอี้ และการยศาสตร์

โรค “ออฟฟิศซินโดรม” เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ผมทำงานด้วยประสิทธิภาพที่น้อยลง

สิ่งที่ผมพยายามปรับคือเรื่องของคอม โต๊ะ เก้าอี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือที่บ้านให้ถูกหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) ให้ได้มากที่สุด เพราะเวลาส่วนใหญ่ของผมนั้นอยู่กับคอม โต๊ะ เก้าอี้

เมื่อผสานการทำงานให้ถูกหลักการยศาสตร์เข้ากับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มันน่าจะทำให้ผมปวดหลังน้อยลงและทำงานได้มากยิ่งขึ้น

7. จัดห้อง

ห้องนั่งเล่นเก่าของผมจะเต็มไปด้วยของระเกะระกะเต็มไปหมดทั่วห้อง

ซึ่งข้อเสียของการไม่ยอมจัดห้องก็คือ 1. เวลาจะหาของมักจะหาไม่ค่อยเจอ 2. ของในห้องมีเยอะจนเกินไปจนทำให้ผมขาดความโฟกัส

ก่อนแต่งงานผมได้ทำการจัดห้องใหม่ทั้งหมด อะไรที่ไม่จำเป็นผมจะจับยัดเข้าตู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลืออยู่ในห้องจะเหลือแต่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้น

ผมคิดว่าห้องโล่งๆ ก็น่าจะทำให้หัวสมองผมเปิดโล่งพร้อมคิดพร้อมทำสิ่งใหม่ๆ และสิ่งยากๆ ได้

สรุป

และนี่ก็คือ 7 วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของผมหลังจากที่แต่งงานนะครับ

มันคงไม่มีประโยชน์อะไรถ้าการงานไปได้ดี แต่ชีวิตส่วนตัวไม่ราบรื่น และในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ควรที่จะใช้ข้ออ้างของการมีครอบครัวทำให้งานเสียหายด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมต้องปรับก็คงจะเป็น “ตัวเอง”

สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่ต้องทำ ทั้ง 3 สิ่งนี้ผมต้องเลือกและตัดสินใจให้ดีเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานและประสิทธิภาพในชีวิตของผม

คุณมีวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพตัวเองยังไงกันบ้าง? มาแชร์กันต่อได้ในคอมเมนต์เลยครับ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top