วันก่อนผมได้ไปอ่านโพสต์ของพี่ที่รู้จักคนนึงมา ซึ่งเขาเขียนถึงอัตราส่วนของสิ่งที่มีสาระและสิ่งที่ไร้สาระในชีวิต แล้วผมเห็นด้วยกับเขามากๆ
ผมก็เลยอยากจะเอามาเขียนแชร์บ้างว่าเรื่องนี้สำคัญยังไง
สิ่งที่ผมเคยวางแผนไว้ในอดีต (ไม่รู้ว่าวางแผนแบบนี้มาได้ยังไง ฮา)
ผมเคย Schedule เวลาตัวเองแบบทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แทบจะทั้งวันทั้งคืน คือตื่นเช้ามาเดินทางไปออกกำลังกาย ทำงาน พักเที่ยง ทำงาน พักเย็น ทำงาน พักนิดหน่อย แล้วก็นอน) และจากตารางทางด้านบนที่วางแผนไว้ว่าเสาร์อาทิตย์จะเป็นวันพักผ่อน ก็ทำไม่เคยได้เลย ต้องหยิบงานขึ้นมา ทำตัวเองให้ยุ่งอยู่ตลอด
ทำแบบนี้ประมาณครึ่งปีแล้วพบว่าชีวิตมันไม่ Productive เลย คือช่วงหลังๆ ตื่นมาแล้วแทบจะไม่อยากทำอะไร รู้สึก Burnout แทบจะทุกวัน
โชคดีที่ช่วงนั้นวางแผนไปเที่ยวต่างประเทศ 10 ว่าวันพอดี (ไม่งั้นถ้าเป็นแบบนั้นไปอีก 2-3 เดือน อาจจะสติแตกได้ ฮา) ก็เลยได้มีเวลาพักและหันกลับมาทบทวนตัวเอง
แผนที่เปลี่ยนไป
สุดท้ายก็ตกผลึกได้ว่า Productivity ไม่เท่ากับการทำงานได้เยอะ แต่เป็นการที่สามารถทำสิ่งต่างๆ ตามแผนได้สำเร็จ และมีชีวิตที่สมดุล
ปัจจุบันนี้ สิ่งที่ทำก็คือพยายามหาสิ่งที่ “ไร้สาระ” แต่ “ดีต่อใจ” เข้ามาในตารางชีวิตของตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง (Netflix คือเพื่อนโปรด) เล่นเกม (ช่วงนี้กำลังติดเกม Football Manager 2021 เลย ฮา) หรือออกกำลังกาย (ในแบบที่ไม่ Strict กับตัวเองเกินไป ที่ต้องขุนตัวเองให้ตื่นมาเช้าๆ ทุกวัน) มันเวิร์คกว่ามาก
นอกจากนั้นแล้ว ผมก็พยายามช่างแม่ง (แต่ไม่ช่างมัน) ให้มากขึ้นด้วยเหมือนกัน
ทุกวันนี้ก็ยังทำงานเยอะเหมือนเดิม คือหลังเลิกงานในเวลาปกติ ต้องมีอีกสัก 1-2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และเสาร์อาทิตย์ก็ยังคงทำงานตลอด แต่ก็แบ่งเวลามาทำสิ่งที่ไร้สาระแทบจะทุกวัน (อย่างน้อยๆ วันละ 1-2 ชั่วโมง) ด้วย
สุดท้ายแล้ว มันส่งผลทางบวกทั้งในเรื่อง Mental และ Physical เลย สุขภาพจิตดีขึ้น และสุขภาพกายโดยรวมก็ดีขึ้นเช่นเดียวกัน
สรุป
ในชีวิต เรามีสมดุล 3 ด้านที่ต้องรักษาคือเรื่องของ Mind, Body และ Soul ถ้าเราใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง มีแต่เรื่องมีสาระ มีสาระ และมีสาระ สุดท้ายชีวิตก็จะไม่สมดุล การแบ่งสรรปันส่วนเวลาชีวิตให้กับเรื่องไร้สาระบ้าง ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนควรทำนะ 🙂