เล่าเรื่องเกาต์ (Gout) เท่าที่เรารู้

Featured Image Gout

ผมเชื่อว่าผู้ชายหลายๆ คนน่าจะคุ้นเคยหรือประสบพบเจอกับโรคที่ชื่อน่ารักๆ (แต่อาการโคตรจะไม่น่ารัก) อย่างเกาต์ (Gout) กันมาบ้างแน่ๆ

ผมเองเป็นเจอกับโรคนี้ครั้งแรกตอนอายุ 20 กลางๆ ตอนที่ไปเรียนปริญญาโทที่ Scotland ดินแดนแห่ง Whisky และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ค่อนข้างหนัก มันเลยไปกระตุ้นกรรมพันธุ์ในร่างกายให้เกิดขึ้นมา (พ่อผมเป็นโรคนี้ตั้งแต่ 20 ต้นๆ)

Gout Example
ตัวอย่างอาการของโรคเกาต์ บริเวณหัวแม่โป้งด้านซ้ายจะบวมมากอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากนั้นเกาต์ก็มาๆ ไปๆ อยู่กับผมเรื่อยมา

ในบทความนี้ ผมจะมาเล่าเรื่องเกาต์เท่าที่เรารู้ จากประสบการณ์จริง เพื่อช่วยผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา ให้คุณเจอความเจ็บปวดจากอาการเกาต์ให้น้อยลงนะครับ

ก่อนจะไปอ่าน ขออนุญาตเขียน Disclaimer ไว้ว่า ผมจะเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวผมเป็นหลัก และจะพยายามอ้างอิงเท่าที่ทำได้ ซึ่งผมไม่ใช่หมอ และผมไม่สามารถการันตีได้ว่ามันจะถูกหลักการแพทย์หรือวิธีการที่ผมแชร์จะมีผลข้างเคียงอะไรรึเปล่านะครับ เพราะฉะนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ไปหาข้อมูลต่อ และไปปรึกษาแพทย์ด้วยนะครับ

เล่าเกาต์จากประสบการณ์ของเรา

เกาต์เกิดขึ้นได้ยังไง?

เกาต์เกิดจากการมีระดับกรด Uric ในเลือดสูงเกินไป ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากพันธุกรรม โรคประจำตัวบางอย่าง อาหารที่มีพิวรีน (Purine) สูง หรือยาบางชนิด

เมื่อมีกรด Uric สูงเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดผลึกสะสมในข้อต่างๆ ส่งผลให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อนของข้อ

ใครที่มีโอกาสเป็นบ้าง?

ส่วนมากแล้วโรคเกาต์จะเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 9-10 เท่า และมักพบในผู้ชายอายุเกิน 35 ปีขึ้นไป (อ้างอิงโรงพยาบาลศิครินทร์)

และถ้าใครเป็นเหมือนผมที่คุณปู่ คุณพ่อ เป็นเกาต์ ยินดีด้วย (หรือเสียใจด้วยดี 😂) คุณมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นเกาต์จากพันธุกรรม

นอกจากการไล่เลียงรุ่นแล้ว การตรวจสุขภาพก็พอจะบอกได้เหมือนกันว่าเรามีโอกาสเป็นไหม โดยที่ถ้าเป็นผู้ชาย ถ้ามีกรด Uric ในร่างกายเกิน 8 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และในผู้หญิงเกิน 6 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จะมีความเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ (อ้างอิงโรงพยาบาลวิภาวดี) อย่างของผมนี่ตรวจทีไรไม่เคยได้ต่ำกว่า 8 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 😅

แต่ทั้งนี้ จากที่ผมเคยเจอมา คือคนที่มีตัวเลขเกินนี้ อาจจะ (ยังไม่เคย) เป็นเกาต์ก็ได้นะ แต่ผมคิดว่า ยิ่งอายุเยอะขึ้น น่าจะยิ่งมีโอกาสเจอมากขึ้น

อาการมันเป็นยังไงนะ?

มันคืออาการปวดที่กระดูกตามข้อ จุดที่ผมปวดมีอยู่จุดเดียวเลยคือแถวๆ ใกล้ๆ นิ้วโป้งขาซ้าย/ขวา แต่ที่เคยเห็นมา บางคนอาจจะเป็นที่ข้อเข่า ข้อศอก

เวลามีคนมาถามว่าอาการเกาต์มันเป็นยังไง ผมชอบจะอธิบายว่ามันเหมือนกับการที่คนลอกเนื้อหนังเราออก แล้วเอามือบีบกระดูกเราแรงๆ เป็นช่วงๆ คือมันปวดกว่าการปวดที่เคยเจอมาทั้งหมดในชีวิตเลย

โดยที่เวลาอาการมันมา มันจะค่อยๆ มาในช่วง 3-4 วัน ซึ่งในช่วงนี้ถ้าเห็นว่ามา ให้จัดยา (เดี๋ยวแชร์ทีหลังว่าปกติผมกินยาอะไร) เพื่อวัดใจเลยว่าใครชนะ ถ้าเราชนะ อาการมันจะหายไป แต่ถ้าเราแพ้ วันที่ 5 เป็นต้นไป อาการจะเริ่มหนักขึ้น และปกติของผมจะพีคมากๆ ช่วงวันที่ 7-10 และตรงจุดที่ปวดจะบวมแดงมากอย่างเห็นได้ชัด

คือถ้ามาถึงจุดพีคปุ๊ป ผมจะต้อง Cancel งานข้างนอกทุกอย่างเลย เพราะเดินไม่ไหว นั่งเฉยๆ ก็ปวดกระดูกเป็นระยะ ยิ่งตอนนอนจะปวดเป็นพิเศษ และมันจะทำให้นอนๆ ตื่นๆ ตลอดเวลาเลย

หลังจากวันที่ 10 อาการก็จะค่อยๆ เบาลง จนมันหายไป (ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์)

เอาจริงๆ โรคนี้เป็นโรคแห่งคำสาปและคำสอนเลย คำสาปคือมันเป็นโรคที่ทรมานกายทรมานใจมาก และรักษาให้หายขาดไม่ได้ ส่วนคำสอนคือมันก็เป็นการบอกเราไปในตัวว่าต้องดูแลร่างกายให้ดีๆ ออกกำลังกาย เลือกกินอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ

ทำยังไงให้ไม่เป็น รักษาให้หายขาดได้ไหม?

อย่างที่บอกไปในข้อที่แล้ว เกาต์เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ ทำได้แค่ลดโอกาสในการเกิด บรรเทา และรักษาตามอาการ

ว่าด้วยเรื่องยา

สิ่งสำคัญเลยคือต้องกินยาคุม อย่าง Xandase (Appopurinol) ไว้ ซึ่งยาชนิดนี้ไม่ใช่ยาคุมแบบคุมกำเนิดนะ 😂 แต่เป็นยาที่ช่วยลดการสร้างกรด Uric ในร่างกาย (อ้างอิง Pobpad) ผมสังเกตตัวเองเลยว่า ช่วงไหนที่ผมกินยาชนิดนี้อย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง เกาต์จะไม่ค่อยถามหา และปกติเกาต์จะชอบมาหาในช่วงเวลาที่ชะล่าใจ คือคิดว่าร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องกินยาคุมไว้ก็ได้ และก็ละเลยการกินยาเป็นปีๆ

ว่าด้วยเรื่องอาหารการกิน

นอกจากเรื่องยาที่กินแล้ว สิ่งที่สำคัญมากๆ ที่จะเป็นตัว Trigger เลยคืออาหารที่กิน

คำแนะนำข้อแรกคือระวังประเภทของอาหารที่กินให้ดีๆ โดยปกติผมจะเลี่ยงอาหารที่มี Purine สูง เพราะ Purine มันจะกลายร่างเป็น Uric

คนมักจะเข้าใจว่ากินไก่แล้วจะทำให้เป็นเกาต์ จริงๆ ถ้าอ้างอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ต้องบอกว่าไม่ใช่ ถ้าสลับรูปประโยคกันว่า เป็นเกาต์ห้ามกินไก่ อันนี้อาจจะถูกต้องบางส่วน

คือพวกเนื้อไก่ ผมว่ากินได้ปกติ ผมกินบ่อยด้วย แต่ถ้าเป็นพวกข้อไก่ อะไรพวกนี้ต้องระวัง

แล้วก็จริงๆ แล้วมันมีอาหารหลายประเภทที่มี Purine สูงกว่าข้อไก่มากๆ ผมแปะไว้ให้นะครับ (อ้างอิง HD)

เครื่องในต่างๆ 250-1200 มิลลิกรัม/100 กรัม

พวกเนื้อสัตว์ต่างๆ เอาจริงๆ มันมี Purine แค่ 100-200 มิลลิกรัม/100 กรัม เท่านั้นเอง และผักต่างๆ จะอยู่ที่ 10-100 มิลลิกรัม/100 กรัม

จริงๆ การตาม Track ว่าอาหารชนิดไหนมี Purine เท่าไหร่เป็นเรื่องยาก วิธีการที่ผมใช้เลยทำง่ายๆ แบบนี้ครับ

  1. งดเครื่องในและยอดผัก
  2. ลดกินเนื้อสัตว์ในส่วนที่ติดกระดูก
  3. เน้นกินเนื้อสัตว์ตรงส่วนที่มีเนื้อเยอะๆ เช่นอกไก่
  4. กินผักเยอะๆ
  5. พยายามไม่กินของแปลกๆ

ว่าด้วยเรื่องการดื่ม

คนเป็นเกาต์ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ แต่สำหรับผมเอง เวลาออกไปงานอีเวนต์ต่างๆ ที่มีการสังสรรค์ ผมก็ดื่มนะ แต่ปกติแล้วจะไม่ดื่มเบียร์เลย เพราะจากที่เคยทดสอบมา เบียร์เป็นเครื่องดื่มประเภทที่ทำให้เกาต์ขึ้นบ่อยและเร็วที่สุด ถ้ากระดกสัก 1-2 Pint ผ่านไป 1-2 ชั่วโมงจะเริ่มปวดข้อแล้ว

ซึ่งจริงๆ ก็พ้องกับข้อมูลที่ผมไปหามาเพิ่มว่าเบียร์มีสารกวาโนซีนซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นกรด Uric ในร่างกายได้มาก (อ้างอิง Bangkokhealth)

ว่าด้วยเรื่องการออกกำลังกาย

เท่าที่ผมเข้าใจคือการออกกำลังกายไม่ได้ช่วยลดโอกาสในการเป็นเกาต์ เพราะผลึก Uric มันขึ้นไม่เลือกคน (ว่าจะขึ้นคนที่แข็งแรงหรือไม่แข็งแรง)

แต่การออกกำลังกายทำให้เรา Stay in Shape โอกาสมีน้ำหนัก/ไขมันส่วนเกินน้อยกว่าคนที่ไม่ออก ซึ่งทำให้เวลาปวดเกาต์ (ที่มันสะเทือนมาถึงข้อ) คนที่ร่างกายแข็งแรงจะเจอปัญหาน้อยกว่า

เพราะฉะนั้น ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ การออกกำลังกายอย่างเป็นประจำก็ดีกว่าไม่ออกแน่ๆ ครับ

วิธีการรักษา

เกาต์เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ ได้แค่บรรเทา และเอาจริงๆ มันเป็นโรคที่คาดเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดขึ้นกับเราตอนไหน บางทีก็เป็น 3-4 เดือนครั้ง บางครั้งก็หายไปหลายปี แต่พอกลับมาเป็นที ก็แทบจะต้องคลานแทนการเดิน

ปกติแล้ว ถ้าอาการเริ่มมา (เริ่มปวดๆ ข้อแบบโดนบีบกระดูก) เมื่อไหร่ ผมจะกิน Xandase 300 มิลลิกรัมวันละ 1 เม็ด และกิน Colchicine (โคลชิซิน) ที่เป็นยาลดการบวมและลดการก่อตัวของผลึกที่เกิดจากกรด Uric วันละ 1-2 เม็ด เม็ดประมาณ 0.6 มิลลิกรัม แต่ถ้าอาหารปวดมันเริ่มมากขึ้น ไม่ดีขึ้น ผมจะเพิ่มปริมาณให้เป็นวันละ 3-4 เม็ดเลย

เว็บนี้ (Pobpad) มีปริมาณการกินและผลข้างเคียงของ Colchicine แนะนำอยู่ ไปอ่านได้ครับ

** สำคัญมากๆ อันนี้ Not a Medical Advice นะครับ ต้องไปปรึกษาคุณหมอต่อเองด้วย

อีกสิ่งที่ทำแล้วช่วยได้คือการแช่บริเวณที่ปวดเกาต์ในน้ำอุ่นทุกวันจะทำให้อาการบวมลดลง อย่าประคบเย็นเด็ดขาด (ผมเคยทำแล้วอาการทรุดลงกว่าเดิมมากๆ)

และถ้ารู้สึกปวดมาก แล้วไม่ไหวจริงๆ การไปหาหมอให้หมอฉีดยาแก้ปวดให้ก็แก้ไขปัญหาระยะสั้นๆ ได้ คืออาการจะดีขึ้นสัก 2-3 วัน จากนั้น ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะยาหมดฤทธิ์

สุดท้าย ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือ “การรอ” รอให้ร่างกายขับกรด Uric และรอให้อาการปวดลดลงไปเอง ซึ่งจากที่ผมเคยเจอมา มันจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์

สรุป

และนี่คือการเล่าเกาต์จากประสบการณ์ของเรานะครับ

โรคนี้เป็นโรคที่ไม่มีใครต้องการอยากให้มันพูดว่า “เกาต์รักตัวเอง” มากๆ เลย 😂

เป็นทีนึง ปวดไปหลายสัปดาห์ และใช้ชีวิตแบบปกติไม่ได้เลย

หวังว่าประสบการณ์ที่ผมแชร์ในบทความนี้จะเป็นแนวทางให้คุณป้องกันและบรรเทาอาการเกาต์ของคุณได้นะครับ

ย้ำอีกครั้งว่าเนื้อหาในบทความนี้เป็นแค่การแชร์ประสบการณ์ คุณควรจะต้องไปปรึกษาหมอด้วยนะครับ

อโรคยาปรมาลาภา-ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

ขอให้คุณห่างไกลกับโรคเกาต์นะครับ!

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top