หลักคิดคนทำ Digital Transformation พลิกทำกำไร 7 พันล้าน

Featured Image Digital Transformation Rathian DTX

ผมไปเรียนคลาส DTX (Digital Transformation Exponential) มาและอยากเอาเนื้อหา Session Leading Digital Transformation โดยคุณ Rathian Srimongkol อดีต CEO ของ KTC, Chairman & CEO of XSpring และกรรมการอิสระของ Indorama Ventures มาสรุปให้คุณได้อ่านกันครับ

Track Record ของคุณ Rathian

– ปี 2011 เป็นปีที่ KTC ขาดทุน 1,600-1,700 ล้านบาท

– Fast Forward สู่ปี 2023 คุณ Rathian คือคนที่ Lead และทำให้บริษัทกลับมาทำกำไร 7,000 กว่าล้าน / ปี ซึ่งสิ่งสำคัญคือการทำ “Digital Transformation”

แนวคิดการทำ Digital Transformation

– Digital Transformation เป็นส่วนหนึ่งของการทำ Business Transformation โดยที่ Digital Transformation เป็น Core ของการทำ Business Transformation

– Digital Transformation คือการพัฒนาความสามารถของเทคโนโลยี ทำให้ปรับปรุงกระบวนการในบริษัทเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดี เพื่อที่จะสร้าง “Sustainable Competitive Advantage” ให้กับธุรกิจ ซึ่ง Digital Transformation เป็น Continuous Process

– โดยปกติ การทำ Business Transformation จะไม่เกิดตอนที่ธุรกิจดี

– สำหรับการทำ Digital Transformation สิ่งสำคัญคือการ Apply ทฤษฏีเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นอยู่

วิธีการทำ Digital Transformation ให้ประสบความสำเร็จ

– วิธีการทำ Digital Transformation ให้ประสบความสำเร็จต้องประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ Strategy, Leadership และ New Way of Thinking (ไม่ยึดติดกับ Legacy)

– ลงรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Strategy ซึ่ง Strategy คือทางเลือก ซึ่งการทำ Strategy คือการ Make Difficult Choices เลือกระหว่างการทิ้งสิ่งที่เคยเป็นมาอยู่ หรือจะเลือกสิ่งที่จะมีโอกาสทำให้บริษัทอยู่ใน Unique Position ที่ทำให้ลูกค้าทำตามที่เราต้องการ และก่อให้เกิด Competitive Advantage ที่ยั่งยืน

Digital Transformation Rathian DTX Strategy 1200

– Strategy คือการตอบ 5 อย่างนี้ให้ได้ 1. Winning Aspiration 2. Where to Play 3. How to Win 4. Must-have Capabilities 5. Enabling Management System

– Leadership คือความสามารถในการ Lead ของผู้นำ (ซึ่ง Speaker ไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องนี้เยอะมากนัก เพราะเดี๋ยวมันจะยาว)

– ถัดมาคือเรื่อง New Way of Thinking

Digital Transformation Rathian DTX DT Strategy 1200

– ในอดีต คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนที่ Innovate ได้เยอะ แต่ในโลกยุคใหม่ Innovation อาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญมากกว่าความสามารถในการที่จะ Connect จุดต่างๆ

– ในอดีต เวลาทำอะไรให้ความสำคัญกับการ Leverage Core Competence (เช่นบอกว่าธุรกิจหลักเราคืออะไร ที่เหลือเป็นธุรกิจเสริม) แต่ในโลกยุคใหม่ จะต้อง Create Complements เช่น Amazon ที่เมื่อก่อนคือการขายหนังสือ แต่จริงๆ แล้ว Amazon ทำการ Connect คนเข้าด้วยกัน

– ในอดีต ธุรกิจ เชื่อใน Concept Hub & Spoke (ความเป็นศูนย์และกระจายให้คนอื่น) แต่ในอนาคตเป็นการ Connect ระหว่างคนด้วยกัน

– ในอดีต เวลาจะทำอะไรสักอย่าง เราจะถามว่า Best Practices คืออะไร แต่ในอนาคตยุคใหม่ ต้องถามว่า Strategy ที่ควรจะทำคืออะไร

– หัวใจแห่งความสำเร็จของการทำ Digital Transformation คือ Vision, Alignment & Commitment

– ไม่มีการ Transform ครั้งไหนที่ไม่เกิดปัญหาหรือ Push back การสู้ไม่ถอย หรือการอดทนเป็นเรื่องสำคัญ

ตัวอย่างการทำ Digital Transformation จากประสบการณ์จริง

– คุณ Rathian ยกตัวอย่างอุตสาหกรรม Petrochemical

– เกือบทุกอย่างในชีวิตของเรามีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ เช่นแก๊สที่เราใช้ สบู่ คอมพิวเตอร์ ยากำจัดศัตรูพืช อาหารที่มีการปรุงแต่ง

– ในอดีต อุตสาหกรรมนี้ทำเงินมาก และมีการแข่งขันกันสูง และปัจจุบัน กำลังเข้าสู่ขาลง

– ปัจจัยหลักอย่างแรกคือประเทศจีน ในปีที่ผ่านมา ประเทศจีนประกาศว่าสามารถออกจาก Middle Income Trap ได้ ว่าง่ายๆ คือกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

* Fun Facts: ประเทศไทย เราเข้าสู่ประเทศที่มี Middle Income ก่อนจีน และเรามีการปรับ Projection มาหลายหน ปัจจุบันมีการ Project ว่าเราจะพ้นจาก 2030 ถ้า GDP โตได้ 5% ต่อปี (ซึ่งแน่นอนว่าเราน่าจะยังคงอยู่ใน Middle Income Trap ต่อไป…)

– ประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่ และคนจีนเก่งมากในการทำการค้า มี Economic of Scale และมี Efficiency ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ

– ปัจจัยถัดมาคือ ในอดีต ยุโรปเคยได้แก๊สราคาถูกจากรัสเซีย แต่ปัจจุบันได้รับ Effect จากสงคราม เลยทำให้ยุโรปต้องซื้อแก๊สจากอเมริกาที่ต้นทุนแพงมาก หลังจากนั้นต้นทุนของการผลิตในยุโรปก็เลยสูงที่สุด (ตั้งแต่ 2021 ถึงปีที่แล้ว บริษัทในยุโรป โดยสาย Manufacturing เจ๊งเป็นว่าเล่น)

– เมื่อรัสเซียขายให้ในยุโรปไม่ได้ ก็ขายให้ประเทศอื่นในราคาที่ต่ำกว่าปกติ ประเทศอื่นที่ว่านั้นก็คือจีน รวมไปถึงอินเดีย และอินโดนีเซีย

– ถัดมา คือเรื่อง EV ที่ทำให้อุตสาหกรรมนี้ได้รับผลกระทบ เพราะมันทำให้คนใช้น้ำมันน้อยลง ซึ่งจีนก็เป็นประเทศที่ส่งเสริมเรื่อง EV (ถ้าซื้อรถ EV ป้ายทะเบียนจะราคาถูกกว่ามาก)

– บริษัท Petrochemical ใหญ่ๆ อย่าง DOW Chemicals, BASF, PTTGC, Indorama, INEOS (ของ Sir Jim Ratcliffe ผู้ถือหุ้นแมนยู) ต่างได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ คือตัวเลข EBITDA ลดลง

– ในช่วงปี 2020 (ช่วง Pandemic) ยอดขายตก เพราะโรงงานผลิตสินค้าไม่ได้ แต่ปี 2021-2022 ดีมาก เพราะ Pandemic เริ่มผ่านไป Demand เริ่มกลับมา คนก็เลยแย่งกัน กำลังการผลิตไม่พอ ราคาของเลยก็ขึ้น กำไรก็เลยขึ้น บริษัท Petrochemical ต่างๆ ก็เลยขยายโรงงาน ขยายธุรกิจมหาศาล ปี 2023-2024 สินค้าต่างๆ เริ่ม Oversupply ผู้จำหน่ายต่างๆ ก็เลยหยุดสั่งสินค้า

– แต่ Indorama เป็นหนึ่งในบริษัทใน Industry นี้ที่ตกลงน้อยกว่าคนอื่น

– พอผ่านมาแล้ว เอามาเล่า เหมือนจะง่าย แต่จริงๆ กว่าจะผ่านมาได้ก็เลือดสาด สิ่งที่ยากคือการพูดคุยกับผู้บริหารในแต่ละประเทศเพื่อ Sync ความเข้าใจ

– สิ่งที่ Indorama อย่างแรกคือ Optimize Assets หรือถ้าพูดให้ไม่หรูคือการปิดกิจการบางแห่งในยุโรป (บางแห่งเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเคยภาคภูมิใจด้วย) ซึ่งการทำแบบนี้เหมือนจะทำให้ Growth หาย แต่จริงๆ Growth มันเพิ่มขึ้น เพราะทำให้ Operating Rate ของบริษัทเพิ่มจาก 74% เป็น 83% (คือใช้โรงงานอื่นในเครือผลิตแทน ทำให้โรงงานอื่นๆ มีจำนวนการผลิตที่สูงขึ้น)

– ถัดมาคือการรวมข้อมูล: Indorama มีบริษัทในเครือเยอะมาก (เป็นร้อยๆ บริษัทในหลายประเทศ) พวกเขามีข้อมูลของทุกบริษัทในเครือ แต่ก่อนหน้านี้ ข้อมูลของทุกบริษัทในเครือไม่ได้เชื่อมโยงกัน พวกเขาเลย Implement ERP (SAP S/4Hana) อย่างจริงจัง ใช้งบไป 250 กว่าล้านเหรียญ แต่สุดท้ายทำให้ได้กลับมาเกือบๆ ปีละ 500 ล้านเหรียญ

– สิ่งสำคัญที่ทุกบริษัทควรถามตัวเองในการทำ Digital Transformation คือ Data ได้รวมกันให้เป็น Single Source of Truth แล้วรึยัง

สรุป

และนี่คือเนื้อหาที่ผมสรุปมาคร่าวๆ จากการรับฟังมาประมาณ 1-2 ชั่วโมงนี้นะครับ หวังว่าจะมีประโยชน์ครับ!

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top